โควิด 19 คืออะไร
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ทำให้มีไข้ และมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ โดยหากได้รับเชื้อดังกล่าว จะมีระยะฟักตัว 2-14 วัน
อาการของโรค
อาการที่พบมากที่สุดของโรคโควิด – 19 คือ มีไข้ ไอ อ่อนเพลีย ส่วนอาการที่พบได้แต่ไม่บ่อย เช่น ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ท้องเสีย ตาแดงอักเสบ ปวดศีรษะ ไม่ได้กลิ่น ไม่รับรส มีผื่นบนผิวหนัง หรือนิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี บางรายอาจมีปอดอักเสบรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งการที่มีอาการเหล่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะติดเชื้อโควิด-19 เพียงอย่างเดียว อาจเป็นอาการของโรคอื่นๆ ก็ได้ แต่หากมีอาการดังกล่าว หรือสงสัยว่าได้รับเชื้อ ก็ให้ตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลที่มีบริการตรวจ โดยราคาของโรงพยาบาลเอกชล อยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท/คน
การแพร่เชื้อ
การแพร่เชื้อหลักๆแพร่จากคนสู่คนผ่านทางละอองฝอยที่มาจากจมูกหรือปากของผู้ติดเชื้อจากการไอหรือจามแล้วเราหายใจเอาละอองนั้นเข้าไปหรือมือไปสัมผัสกับละอองฝอยนั้นแล้วมาจับบริเวณใบหน้าทำให้เราได้รับเชื้อนั้นไปด้วย
การป้องกันโควิด – 19
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลัก
- สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น
- เว้นระยะห่างที่ปลอดภัย จากการไอหรือจาม
- ไม่สัมผัสอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ต่างๆ ที่เป็นสาธารณะ
- ไม่สัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในแหล่งชุมชน ออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือติดตามสถานการณ์ของโรคโควิด – 19 สามารถดูได้จาก website ของกระทรวงสาธารณสุข ตามลิงค์นี้ http://www.moph.go.th
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ คืออะไร
โลกได้รับรู้เรื่องโรคติดต่อปริศนา หลังจากทางการจีนยืนยันเมื่อ 31 ธ.ค. 2019 ว่าเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน
โดยหลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้นำไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ ในเวลาต่อมา จีนและองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ไวรัสชนิดนี้ คือ “เชื้อไวรัสโคโรนา”
ก่อนหน้านี้ พบไวรัสโคโรนามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยเกิดการระบาดในมนุษย์ สำหรับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดเป็นสายพันธุ์ที่ 7
คนไทยรู้จักไวรัสในตระกูลนี้มาแล้วจากโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรง หรือ โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) ซึ่งมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสโคโรนาเช่นกัน โดยพบการระบาดครั้งแรกปลายปี 2002 เริ่มจากพื้นที่มณฑลกวางตุ้งของจีน ก่อนที่จะแพร่กระจายไปในหลายประเทศ จนมีผู้ติดเชื้อกว่า 8,000 คน และคร่าชีวิตผู้คนไปเกือบ 800 คนทั่วโลก
- อนามัยโลกตั้งชื่อ “โควิด-19” ให้โรคทางเดินหายใจจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่
- จีนได้บทเรียนอะไรบ้างจากโรคซาร์สระบาดเมื่อ 17 ปีก่อน
- รักษาหรือปล่อยตาย เรื่องใหญ่ที่หมออิตาลีต้องเลือกคนไข้ในวิกฤตโควิด-19
องค์การอนามัยโลก ประกาศชื่อที่เป็นทางการสำหรับใช้เรียกโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ว่า “โควิด-ไนน์ทีน” (Covid-19)
ขณะที่คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยอนุกรมวิธานวิทยาของไวรัส (International Committee on Taxonomy of Viruses ) ได้กำหนดให้ใช้ชื่อไวรัสที่ทำให้เกิดโรค Covid-19 ว่า SARS-CoV-2 หรือไวรัสโคโรนาโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงชนิดที่สอง (Severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 ) เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมอย่างใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสโรคซาร์ส
ระยะฟักตัว
นี่เป็นช่วงที่ไวรัสพยายามเข้าไปฝังอยู่ในร่างกายคุณ ไวรัสชนิดต่างๆ ทำงานโดยการเข้าไปและยึดเซลล์ร่างกายของคุณไว้ ไวรัสโคโรนา ซึ่งมีชื่อเรียกทางการว่า Sars-CoV-2 สามารถเข้าสู่ร่างกายเมื่อคุณหายใจเอาเชื้อเข้าไป (หากมีคนติดเชื้อไอหรือจามใกล้ๆ) หรือเมื่อคุณไปจับบริเวณที่มีเชื้อติดอยู่
ในขั้นแรก เชื้อจะแพร่ไปตามเซลล์ที่เยื่อบุคอ ท่อทางเดินหายใจและปอด ก่อนจะเปลี่ยนอวัยวะเหล่านี้เป็น “โรงงานผลิตไวรัสโคโรนา” ที่แพร่กระจายไวรัสใหม่ไปติดเซลล์เพิ่มอีก
ในช่วงแรกนี้ คุณอาจไม่มีอาการป่วย และสำหรับบางคนก็อาจไม่แสดงอาการใดเลย โดยเฉลี่ยแล้ว ระยะฟักตัวตั้งแต่ติดเชื้อถึงแสดงอาการอยู่ที่ 5 วัน แต่ก็แตกต่างกันไปตามกรณี
อาการ
องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการเริ่มแรก คือ มีไข้ ตามมาด้วยอาการไอแห้งๆ หลังจากนั้นราว 1 สัปดาห์จะมีปัญหาหายใจติดขัด ผู้ป่วยอาการหนักจะมีอาการปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากอาการรุนแรงมากอาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว
ขณะที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำว่า หากผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงการระบาดของโรคมีอาการไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ควรรีบพบแพทย์ทันที
ความรุนแรงของโรค
ปัจจุบันนักวิจัยประเมินว่า ในจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 1,000 คน มีผู้เสียชีวิต ราว 5-40 คน หากจะระบุตัวเลขคาดการณ์ที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกก็คือ 9 คน ในผู้ติดเชื้อ 1,000 คน หรือเกือบ 1%
ขณะที่นายแมตต์ ฮานค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ระบุเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า “การประเมินที่ดีที่สุด”ของรัฐบาล คือ อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ “2% หรือ น่าจะต่ำกว่านั้น”
แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของอายุ เพศ สุขภาพโดยทั่วไป และระบบสาธารณสุขที่ผู้ป่วยเข้ารับบริการ
- เรามีโอกาสรอดแค่ไหน หากติดโรคนี้ อัตราการตายเฉลี่ยทั่วโลกเป็นอย่างไร
- ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 1 ราย แพร่เชื้อต่อให้คนรอบข้างได้อีก 2-3 รายโดยเฉลี่ย
- แพทย์จีนเตือนผู้ป่วยจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้หายแล้วก็อาจกลับมาติดเชื้อซ้ำอีกได้
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลคนไข้ 56,000 คน ที่จัดทำขึ้นโดยองค์การอนามัยโลก บ่งชี้ว่า ผู้ได้รับเชื้อ 4 ใน 5 คน จะมีอาการป่วยไม่รุนแรง โดย
- 80% มีอาการไม่รุนแรง
- 14% มีอาการรุนแรง
- 6% มีอาการวิกฤต
ส่วนอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำที่ 1-2%
โรคโควิด-19 ขั้นร้ายแรง
บางคนอาการแย่ลงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายตอบสนองไวรัสมากเกินไป การหลั่งสารเป็นสัญญาณเตือนว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสามารถทำให้เกิดอาการอักเสบในร่างกาย แต่การอักเสบนี้ต้องอยู่ในระดับที่พอดีสมดุล มากไปจะทำให้เกิดความเสียหายไปทั่วร่างกายได้
“ไวรัสนี้ทำให้เกิดการตอบโต้ของระบบภูมิคุ้มกันอย่างไม่สมดุล มีอาการอักเสบมากเกินไป เรายังไม่ทราบว่าไวรัสทำเช่นนี้ได้อย่างไร” ดร.นาธาลี แมคเดอร์มอตต์ จากคิงส์คอลเลจลอนดอน กล่าว
การอักเสบที่ปอด เรียกว่า อาการปอดปวม เป็นไปได้ที่เชื้อจะเดินทางเข้าปาก ผ่านหลอดลม และเข้าไปสู่ถุงลมในปอดในที่สุด ในนี้จะมีกระบวนการการนำออกซิเจนเข้าสู่เลือดและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แต่ในภาวะปอดบวม น้ำจะเริ่มเข้ามาในถุงลมเล็กๆ และทำให้เกิดอาการหายใจไม่อิ่มและหายใจไม่สะดวกในที่สุด
ในระยะนี้ บางคนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ข้อมูลจากจีนชี้ว่า 14 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดได้รับผลกระทบในขั้นนี้
ผลการวิเคราะห์จากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของจีน (CCDC) ชี้ว่า แม้อัตราการติดเชื้อโรคโควิด-19 ระหว่างชายและหญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่อัตราการเสียชีวิตนั้นทิ้งห่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวนคนไข้ชายที่เสียชีวิต 2.8% ในขณะที่คนไข้หญิงเสียชีวิต 1.7%
สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนี้ สืบเนื่องมาจากการที่ผู้ชายเป็น “เพศอ่อนแอกว่า” ในเรื่องของภูมิต้านทานโรค แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดว่าเหตุใดผู้หญิงจึงแข็งแกร่งกว่าผู้ชายในแง่นี้ ทั้งยังสามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า และอยู่คงทนนานปีกว่าอีกด้วย
การตรวจสุขภาพประจำปี หรือการตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยงจะช่วยให้เรารู้ตัวอยู่เสมอว่า มีโรคประจำปีหรือไม่ หรือมีโรคอะไรเกิดใหม่กับเราหรือไม่ ซึ่งหลายคนที่ได้รับเชื้อ โควิด-19 ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว จะเสียชีวิตได้ง่ายและเร็วกว่าคนที่ไม่มีโรคประจำตัว และที่สำคัญบางคนไม่รู้มาก่อนว่าตัวเองมีโรคประจำตัว เนื่องจากไม่ได้รับการตรวจสุขภาพมาก่อน ฉะนั้นการตรวจสุขภาพเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเฝ้าระวังตัวเองได้ด้วย เพราะถ้าเราอยู่ตัวว่ากำลังป่วยเป็นโรคอะไร เราก็จะดูแลตัวเองมากขึ้น ร่างกายก็สามารถสู้กับเชื้อ โควิด-19 ได้
บทความและหลักสูตรที่น่าสนใจ
- WHO คืออะไร
- ขั้นตอนการตรวจสอบ และ การเตรียมตัวก่อนตรวจปั้นจั่น ปจ.1 ปจ.2
- บริการฉีดฆ่าเชื้อโควิด CIVID19 มาตรฐานโรงงาน
- ประเภทของสถานประกอบกิจการที่ต้องมี จป. Safety of factory
- แนวทางของ เซฟสิริ ในการกลับมาเปิดบริการของเรา ( Covid-19 )